18 กันยายน 2552

สวรรยา



สวรรยา


( ลาว คำหอม )





ภาคสวรรค์

ภายใต้เงาฟ้าเรืองรองวันหนึ่ง หลายชีวิตได้เปิดเปลือกตาขึ้น ณ ห้องหับสีทองที่อบอวลด้วยกลิ่นสุคนธรส

“นี่แน่ะ ท่านผู้เป็นน้องแห่งเรา”

ชีวิตแรกเอ่ยทักเมื่อปรากฏร่างน้อยๆ ของอีกชีวิตหนึ่งเคลื่อนมาตรงหน้า

“อะหา ใครกันที่มาเราว่บังอาจเรียกเราว่าน้อง”

ชีวิตสองสนองตอบ

“เรานะรึ”

“ก็จะยังมีผู้อื่นใดอีกเล่า”

“อ๋อ เราคือผู้เป็นเจ้าของแห่งภพนี้”

"ใครสอนถ้อยคำอันแสนจองหองนั้นแก่ท่าน”

“ความจริง”

“คืออย่างไร”

“ก็มีอยู่ว่า เทพเจ้าส่งให้เรามาจุติ ณ รมณียสถานแห่งนี้”

“อือ ตลกดี”

เงียบลงชั่วขณะหนึ่ง

“ไหมล่ะ ท่านจำนนต่อความจริงแล้ว”

ชีวิตสองไม่ตอบ แต่เสียงที่สามหัวเราะแทรกขึ้น

“ฮะฮา...”



สิ้นเสียงที่สามก็มีเสียงที่สี่ - ห้า - หก - และถัดไป หัวเราะประดังก้อง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกท่านคือใคร”

ชีวิตแรกกล่าวด้วยน้ำเสียงขึ้งโกรธ

“พวกท่าน”

เสียงเยาะๆดังขึ้นอีกในกลุ่มผู้มาใหม่

“ผิดไปแล้ว ท่านน่าจะเปลี่ยนคำถามใหม่เป็นว่า พวกเรา ซีจึงจะควร ดูสิ จงมองดูตัวท่านแล้วเปรียบเทียบกับพวกเรา และหาความแตกต่าง”



คำทุ่มถียงเงียบลงอีก เหลือแต่เสียงสังคีตแว่วกระจายอยู่ในอากาศเบื้องบน

“พบแล้วยัง”

“ไม่พบ”

“ไม่เห็น”

“ไม่มี”



ดนตรีเสนาะดังชัดมากขึ้น ครู่เดียว ต่อมาทุกชีวิตก็ละจากการโต้เถียง ต่างแหงนหน้าขึ้นมองด้วยความระทึกใจ เมื่อปรากฏร่างสีเขียวแวววาวแหวกม่านฟ้าลงมาด้วยท่าทีองอาจ ติดตามด้วยเหล่าบริวารในแพรพรรณสวยสด ร่างนั้นค่อยลอยเลื่อนลงมา ที่สุดหยุดลงตรงหน้าแล้วเอ่ยปากถาม

“ผู้สืบผลบุญ พวกท่านส่งเสียงอื้ออึงคะนึง

ในยามนี้ ด้วยเหตุดังฤา”

“เรามีปัญหามากหลาย”

ชีวิตแรกเสนอหน้า

“จงว่ามา”



“หะแรก ข้าพเจ้าเรียกท่านหนึ่งในพวกนี้ว่า น้อง ข้าพเจ้าได้รับความขุ่นเคืองจากเขา และเมื่อข้าพเจ้าแจ้งให้ทราบว่าเป็นเจ้าของแว่นแคว้นแดนนี้ด้วยเหตุมาถึงก่อน คำตอบของพวกเขาคือเสียงหัวเราะ ที่สุดตกลงกันไม่ได้ว่าพวกเราคือใคร...”

“นั่นปะไร ข้าคิดไว้เคยผิดเสียเมื่อไหร่”

ผู้ทรงศักดิ์พูดพลางถูมือไปมานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวสืบไป

“ขอพากันทราบเสียว่า ทุกท่านเป็นผู้สืบจากผลแห่งบุญ”

“คืออย่างไรท่าน”

เสียงถามด้วยอาการกระตือรือร้น

“ฟังให้จบก่อนซี - เอ้อ -คือท่านทั้งหลายมาสู่ทิพยสถานแห่งนี้ด้วยผลบุญ”

“ทิพยสถานคือ คืออย่างไร”

“อ้าว เราได้เตือนท่านแล้วว่าอย่าขัดจังหวะเมื่อกำลังพูด คืออย่างนี้ ที่นี่เป็นสรวงสวรรยาของผู้มากด้วยบุญ มีทุกสิ่งที่เป็นทิพย์”

“หมายความว่าพวกเราคือเทพ”

“นั่นสุดแท้แต่ท่านจะเข้าใจและเรียกตัวเอง”

“ฮา ตูคือเทพ เราคือเทพ”

เอ็ดอึงด้วยหรรษา

“ตัวท่านนั้นเล่าเป็นใคร”

เสียงเทพกระด้างขึ้น

“ใคร่รู้นักรึ”

“ใช่”

“อันที่จริงหากสังเกตสักเล็กน้อยผิวกายอันเรืองรองของเราน่าจะบอกท่านได้ว่าเราเป็นใคร อ้อ! พวกท่านเป็นผู้มาใหม่ไม่เป็นไร เราจะบอกให้ เราคือองค์อินทร์ เป็นพระยาแห่งทิพยสถานเกษมสุขนี้”

“องค์อินทร์ โอ้ ขอได้โปรดแก่ความเบาปัญญาของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านผู้เป็นที่เคารพ”

สิ้นสำเนียงทวยเทพ เหล่าบริวารแวดล้อมก็แซ่ขานและบรรเลงดนตรีทิพย์สืบต่อมาอีกชั่วครู่ เหล่าผู้มาใหม่ได้ออกปากวิงวอนให้ผู้เป็นพระยาเล่าถึงความเป็นไปในทิพยนครโดยสังเขป

“ภพนี้...” องค์อินทร์เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวาน “มีอายุขัยไล่เลี่ยเหลือประมาณกับอายุกาลแห่งโลกมนุษย์ ว่าถึงตำแหน่งแห่งที่ตั้งเล่า ถ้ากำหนดเอาแผ่นฟ้าเป็นจุดต้น ก็มีหนทางไกลกว่าจากแผ่นฟ้าถึงผิวโลก เพียงสองศอกถึงสองวาโดยประมาณ ทุกสิ่งแลลานเป็นสีทองดังท่านได้ประจักษ์อยู่บัดนี้ อนึ่งเนื่องด้วยเราอยู่ห่างออกมา ความแจ่มจ้าของอาทิตย์ก็มาติดอยู่แค่ผิวพื้นโลก แสงที่ตกถึงเราจึงบางเบาเป็นลำแสงสีรุ้งอ่อน เราไม่มีเวลาร้อน เช่นเดียวกับที่ไม่รู้จักหนาว ชีวิตมีแต่ความเบิกบาน เมื่อหิวก็จะมีอาหารอันเอมโอชลิ่วลอยลงมาจากนภากาศ จงเลือกอยู่ เลือกกินสร้องเสพสำราญจนกว่าทุกท่านจะสิ้นบุญเถิด”



สิ้นกระแสสั่ง เสียงเห่กล่อมประเลงเพลงก็ก้องกึก กังวานไกล หลายหมื่นโยชน์ เหล่าทวยเทพจึงทอดตัวลงฟอนฟาน ด้วยอาการสำราญในทิพยสถานนั่นแล



เมืองดิน

สายมากแล้ว ชายแก่เดินงุดๆ ออกจากคูหาน้อยปลายสวน มือถือกระป๋องเก่าๆ ซึ่งยังคลุ้งด้วยกลิ่นอับๆ ของยาพิษ แกพูดพึมพำ

“อ้ายฉิบหาย นับวันก็ยิ่งแต่มาก คราวนี้เห็นจะเกลี้ยงเสียที มีไอ้หัวเขียวลอดขึ้นมาได้ตัวเดียว”